ขาย LTF แล้ว จัดทัพลงทุนอย่างไรต่อดี ?

ในปี 2568 นี้เป็นปีที่สำคัญสำหรับนักลงทุนไทยที่ลงทุนใน LTF นับตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงปีสุดท้ายที่ LTF สามารถลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้ เนื่องจากเป็นการครบกำหนดทั้งหมดของกองทุน LTF นำมาซึ่งคำถามสำคัญ ทำอย่างไรต่อดี

ก่อนตัดสินใจควรสำรวจปัจจัยสำคัญเหล่านี้

1. สภาพคล่องการเงิน

  • หากมีปัญหาด้านการเงิน LTF ที่ครบกำหนดจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องหรือใช้ลดภาระหนี้สินได้
  • แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ควรพิจารณาถือครองต่อเพื่อโอกาสในการเติบโตในระยะยาว หรือถือเพื่อรอรับเงินปันผล หากกองทุนที่ลงทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผล

2. ผลตอบแทนสุทธิ

  • ประเมินกำไรหรือขาดทุนสุทธิ โดยคำนวณทั้ง #ปันผลที่ได้รับ และ #สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผ่านมา
  • หากมีกำไร การขายเพื่อรับผลตอบแทนอาจเป็นทางเลือก แต่ถ้าขาดทุน ควรพิจารณาลงทุนใหม่เพื่อชดเชย

3. ความต้องการสิทธิลดหย่อนภาษี

  • หากยังต้องการลดหย่อนภาษี การ reinvest ผ่านกองทุน RMF หรือ ThaiESG อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง แนะนำให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และอาจทำให้เสียโอกาสการออมเงินเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

ข้อดี เพิ่มสภาพคล่องและลดความเสี่ยงจากตลาดหุ้น 

ข้อเสีย พลาดโอกาสการเติบโตของพอร์ตในระยะยาว

แต่หากท่านเป็นนักลงทุนที่ไม่มีปัญหาด้านสภาพคล่อง การ reinvest ยังคงทางเลือกหลักที่เราแนะนำ ข้อดีของการ reinvest หลัง LTF ครบกำหนด

  • เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
  • ลดความสูญเสียจากการขาดทุนเดิมผ่านการลงทุนใหม่
  • ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหากเลือก RMF หรือ ThaiESG

ตัวอย่างทางเลือกในการ reinvest

1. ลงทุนผ่านกองทุน ThaiESG

“กองทุนตราสารหนี้” อาทิ KKP GB THAI ESG และ K-ESGSI-ThaiESG 

เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ และสามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุนหุ้น ThaiESG ในบลจ.เดียวกันได้ ในยามที่ประเมินแล้วว่าสินทรัพย์หลักอย่างหุ้นไทย ปรับตัวลงมาถึงระดับที่น่าสนใจ หรือมีโอกาสเติบโต


“กองทุนผสม” อาทิ KTAG70/30-ThaiESG และ ES-ESG3070-ThaiESG-A 

เหมาะสมกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง มีส่วนผสมทั้งหุ้นไทยและตราสารหนี้

“กองทุนหุ้นไทย” อาทิ K-TNZ-ThaiESG และ KKP EQ THAI ESG 

เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และสามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุนตราสารหนี้ในบลจ. เดียวกันได้ เมื่อพึงพอใจ

2. ลงทุนผ่านกองทุน RMF
เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนที่หลากหลายมากขึ้น หนุนโอกาสสร้างผลตอบแทนฟื้นคืนส่วนชดเชยผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจาก LTF ได้ พร้อมกับได้ลดหย่อนภาษีอีกครั้ง

3. ลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือ สินทรัพย์อื่นๆ 

เพื่อกระจายความเสี่ยง อาทิ กองทุนส่วนบุคคล GSA CORAL, หรือ Global Allocation และหุ้นกู้คุณภาพดีจำนวนมาก รวมถึงกองทุนรวมทั่วๆ ไป

สำหรับผู้ขาย LTF ในปีนี้และไม่ต้องการลดหย่อนภาษีต่อ สามารถเลือกลงทุนได้อย่างอิสระ บนความเสี่ยงที่ท่านสามารถรับได้ เช่น 

“กองทุนหุ้นโลก” โอกาสเติบโตไปพร้อมกับประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง อาทิ  KKP GNP, KKP PGE-UH, UESG, KFGG-A


“หุ้นต่างประเทศรายตัว” หรือ “ETF” เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ จากการลงทุนในตลาดต่างประเทศ อาทิ GOOGL, NVDIA, TSMC, QQQ, SPY ฯลฯ 

หรือจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง ผสมผสานแบบหลากหลาย ทั้ง กองทุนรวม, ETF, Structure Note, หุ้นต่างประเทศ และ Private Assets 

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน ทั้งนี้หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2403
✉️ wealth-management@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

บทความที่เกี่ยวข้อง

Taper Tantrum 2013 คืออะไร

หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (2008) ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ใช้ Quantitative Easing (QE) เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณมหาศาล ส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลง สนับสนุนการกู้ยืม การจ้างงาน และการลงทุน แต่ในเดือนพฤษภาคม 2013 เพียงแค่คำกล่าวของ Ben Bernanke ประธาน Fed ขณะนั้นที่บอกว่า “Fed อาจเริ่มลดการซื้อพันธบัตรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความตื่นตระหนกของตลาดทั่วโลก

ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าการลดสภาพคล่องจากระบบ Quantitative Tightening (QT) จะเกิดขึ้นในไม่ช้า และอาจตามมาด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งเป็นผลลบต่อตลาดตราสารหนี้ จาก Demand ของตราสารหนี้ที่อาจขาดหายไป และการขึ้นดอกเบี้ยที่กดดันราคาตราสารหนี้ระยะยาว (Long Duration) 

ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น สวนทางตั๋วเงินคลังระยะสั้น พร้อมกับสร้างแรงกดดันไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่านความกังวลด้านต้นทุนการเงินที่เร่งตัวขึ้น และตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) ไปพร้อมๆ กัน จากเงินทุนไหลออก

ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นจาก 1.6% สู่ระดับใกล้เคียง 3% ตลาดหุ้น EM ปรับตัวลง 15-20% โดยเฉลี่ย และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงประมาณ 6%

เมื่อเผชิญสถานการณ์ดังกล่าวนักลงทุนควรที่จะ

  • ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือยาวนาน (duration สูง)
  • เสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตด้วยเงินสด หรือสินทรัพย์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น
  • กระจายพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากความผันผวน อาทิ Vix ETF
  • หากลงทุนในหุ้น อาจเน้นหุ้นคุณภาพสูง กระแสเงินสดดี ROIC สูง มีอัตราการกู้ยืมต่ำ
  • หลีกเลี่ยงสินทรัพย์ของประเทศที่อ่อนไหวต่อ Fund Flow, บริษัทหรือหุ้นที่มีอัตราการกู้ยืมสูง หรือ ยังไม่มีกำไร เป็นต้น 
  • ติดตามสถานการณ์การประชุม FOMC อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสถานการณ์💡มองหาสินทรัพย์ที่ Panic Sell มากเกินไป เพื่อสร้างโอกาสจากความผันผวน

การนึกถึง Scenario ต่างๆ เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนเอาไว้ให้พร้อมเสมอ เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้เติบโตไปอย่างมั่นคง เพื่อให้เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้น ทั้งเป็นไปตามคาด และผิดคาด นักลงทุนจะสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที ด้วยเหตุผลตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้แล้ว

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2403
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd


ในโลกที่ตลาดหุ้นไม่แน่นอน ตลาดพันธบัตรก็ไม่ปลอดภัยเหมือนเดิม และ correlation ระหว่างสินทรัพย์ดั้งเดิมเริ่มขยับไปทางเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนมืออาชีพจำนวนมากจึงเริ่มหันมามองหาเครื่องมือที่สามารถ “ลด drawdown” ได้จริง และสร้างผลตอบแทนในเชิง Absolute มากกว่าแค่ “ชนะตลาดแบบ Relative” 

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ Absolute Return Fund หรือ “กองทุนผลตอบแทนสัมบูรณ์” ที่วางเป้าหมายหลักในการสร้างผลตอบแทนเป็นบวกเสมอในแต่ละช่วงเวลา โดยไม่สนใจว่าตลาดจะขึ้น ลง หรือ Sideway

❓Absolute Return Fund คืออะไร

กองทุนดั้งเดิมจะเน้นพยายามเอาชนะดัชนี เช่น ดัชนีปรับตัวขึ้น 5% กองทุนจะตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนมากกว่า 5% หรือในกรณีที่กองทุนปรับตัวลง 5% กองทุนจะตั้งเป้า ปรับตัวลงน้อยกว่า 5% ขณะที่ Absolute Return Fund จะตั้งเป้า“ชนะตลาดทุกสภาวะ” (All Weather Return) กล่าวคือ ไม่ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นลงเท่าไหร่ กองทุนก็จะตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ บนกรอบเวลาที่กำหนด เช่น ทุกๆ ไตรมาส, ทุกๆ ปี 

✅ เป้าหมายไม่ใช่ outperform ดัชนี แต่คือทำผลตอบแทนเป็นบวก อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว

✅ Return +5% คือ “Success” แม้ตลาดจะติดลบ -10% เพราะไม่ได้ benchmark กับตลาด

โดยสรุป Absolute Return Fund คือ “การลงทุนแบบไม่สนใจตลาด” ด้วยเครื่องมือ และกลยุทธ์ที่หลากหลาย อาทิ

🔄 Long/Short Strategy

– เข้าซื้อหุ้นที่คาดว่าจะขึ้น

– เปิด Short หุ้นที่คาดว่าจะลง

– ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ไปพร้อมๆ กับลดความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาด

🛡️ Derivatives & Hedging

– ใช้ Options, Futures หรือ Swaps เพื่อลดความเสี่ยง หรือเก็งกำไรจาก Volatility

– ป้องกัน downside หรือ Lock-in ผลกำไร

📊 Multi-Asset & Macro Strategy

– ลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้, ค่าเงิน, Commodity

– Dynamic Allocation เปลี่ยนสัดส่วนตาม Market Regime

📏 Risk Control ขั้นสูง

– ใช้ Stop-loss, VaR, หรือ Volatility Targeting ควบคุม Drawdown

– หลายกองใช้ Sharpe Ratio และ Max Drawdown เป็น KPI สำคัญ

สำคัญคือการ ควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มข้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุน 


ในแง่ของการจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) Absolute Return Fund นับเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะแก่การกระจายลงทุน เพราะช่วยให้ความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ต่างๆ ต่ำลง พร้อมด้วยการตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอในทุกๆ สภาวะ ลดโอกาสการเกิด Overhedge หรือป้องกันความเสี่ยงมากเกินไป จนส่งผลต่อผลตอบแทนที่คาดหวัง

หรืออาจใช้ในลักษณะของ Tactical Allocation เมื่อทิศทางตลาดไม่ชัดเจน เมื่อความกังวล หรือความเสี่ยงเร่งตัวมากขึ้นก็สามารถทำได้

ข้อจำกัดของกองทุนกลุ่ม Absolute Return Fund

1️⃣ กลยุทธ์ซับซ้อน อาจเข้าใจยากสำหรับมือใหม่

2️⃣ ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นในช่วงตลาดขาขึ้นแรง

3️⃣ ค่าธรรมเนียมสูงกว่ากองทุน Passive ทั่วไป

SCBGEARA กองทุน Jupiter Merian Global Equity Absolute Return Fund ซึ่งใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Market Neutral เพื่อสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอในทุกสภาวะตลาด เหมาะสมแก่การถือครองเพื่อกระจายความเสี่ยง

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd


Buffett Indicator เครื่องที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ใช้ดูความถูก/แพงของตลาดหุ้น….

“วอร์เรน บัฟเฟตต์” ชื่อนี้แทบจะกลายเป็นตำนานในโลกการลงทุน นักลงทุนระดับโลกผู้เป็นต้นแบบของ Value Investment หรือการลงทุนเชิงคุณค่า ที่ให้ความสำคัญกับการซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) วิธีคิดของเขาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง — ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ และไม่จ่ายแพงเกินไปสำหรับสินทรัพย์ที่ซื้อ

สำหรับนักลงทุนแนวทางนี้ การประเมินว่าตลาดหุ้นในภาพรวม “ถูก” หรือ “แพง” เป็นเหมือนการวางเข็มทิศก่อนออกเดินทาง เพราะแม้จะเจอบริษัทดีแค่ไหน แต่หากตลาดโดยรวมอยู่ในช่วงฟองสบู่ โอกาสทำกำไรก็อาจน้อยลงหรือเสี่ยงขาดทุนได้มากขึ้น

ในโลกการเงินมีเครื่องมือและตัวชี้วัดมากมายที่ใช้ประเมินความถูกแพงของตลาด เช่น P/E Ratio ที่เปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น หรือ P/BV Ratio ที่เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยและใช้กันอย่างแพร่หลาย

แต่สำหรับบัฟเฟตต์ เขามีตัวชี้วัดที่มองภาพรวมได้ชัดเจนกว่านั้น และใช้เป็น “สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า” ว่าตลาดกำลังอยู่ในจุดที่เสี่ยงหรือไม่ เครื่องมือนั้นคือ Buffett Indicator หรืออัตราส่วนระหว่าง #มูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมด กับ #ขนาดเศรษฐกิจของประเทศ (GDP)

Buffett Indicator ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นเสมือนภาพถ่ายมุมสูงของทั้งตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ หากตัวเลขสูงมากเกินไป ย่อมสื่อว่ามูลค่าตลาดหุ้นโดยรวมอาจเกินกว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะรองรับได้ และนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น

แล้วเครื่องมือนี้ทำงานอย่างไร? เราจะพาไปเจาะลึกมากขึ้น

เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนภาพรวมของมูลค่าตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศ สามารถคำนวณได้จาก  

( มูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมด​GDP​) ×100   ซึ่งค่าที่คำนวณออกมา สามารถบ่งบอกได้ดังนี้

▪️ < 100% = ตลาดหุ้นอาจอยู่ในภาวะ “ถูก” (Undervalued)
▪️ใกล้เคียง 100% = ตลาดอยู่ในระดับสมเหตุสมผล (Fair Valued)
▪️ > 100% = ตลาดมีแนวโน้ม “แพง” (Overvalued)
▪️ ≥ 200% = เป็นสัญญาณอันตราย เตือนถึงฟองสบู่ (Bubble)

เมื่อมองภาพรวมของตลาดในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า มูลค่าตลาดรวมของดัชนี Wilshire 5000 อยู่ที่ราว 65.47 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ GDP ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 30.15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568)

ทั้งนี้ดัชนี Wilshire 5000 คือ ดัชนีที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ กว้างที่สุด ครอบคลุมหุ้นทุกขนาดและอุตสาหกรรม ใช้กันมากในการวัดขนาด “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ทั้งหมด ซึ่งมีการคำนวณแบบ “Market Cap Weighted”

เมื่อนำตัวเลขทั้งสองมาคำนวณ จะได้ค่า Buffett Indicator ประมาณ 217% (Bubble) เป็นระดับที่ส่งสัญญาณให้ #นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะโอกาสที่ราคาหุ้นจะผันผวนหรือปรับฐานมีมากขึ้นในช่วงหลังจากนี้

ดังนั้นแล้วกองทุน MGALL (MFC Global Strategic Allocation Fund) ซึ่งกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก และให้น้ำหนักในแต่ละสินทรัพย์ตามความเสี่ยงแบบ Risk Parity จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความเสี่ยง รับโอกาสสร้างได้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นๆ  📌 ลงทุนเริ่มต้น 1,000 บาท ระดับความเสี่ยง 5

อย่างไรก็ดี Buffett Indicator ยังมีข้อจำกัดในด้าน

อัตราดอกเบี้ย มีผลต่อการหนุนหรือกดดันภาวะการลงทุน ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ อาจทำให้ดัชนีสูงกว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงได้ ดังนั้นอาจต้องพิจารณาปัจจัยนี้ประกอบในแต่ละช่วงเวลา

การเติบโตของบริษัทข้ามชาติ เช่น ที่ทำกำไรนอกประเทศ แต่ GDP อาจไม่สะท้อนทั้งหมด ทำให้ดัชนีสูงขึ้นโดยที่เศรษฐกิจจริงอาจไม่ได้เติบโตตาม

ไม่ครอบคลุมปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ตัวเลขกำไรบริษัท เงินเฟ้อ หรือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอื่นๆ จึงไม่ควรใช้เป็นเครื่องชี้วัดเพียงอย่างเดียวดังนั้นต้องใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และผลประกอบการของบริษัท การนำตัวชี้วัดนี้มาใช้จึงควรพิจารณาให้สอดคล้องกับบริบทของตลาดในขณะนั้น เพื่อความรอบคอบ และเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

PHP Code Snippets Powered By : XYZScripts.com