Term Fund VS กองทุนตราสารหนี้ ทางเลือกไหนตอบโจทย์กว่าในยุคดอกเบี้ยขาลง

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนของทั่วโลกต่างเผชิญความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสงครามการค้าที่เร่งตัว สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจให้อาจชะลอตัว หรือเข้าไปสู่ภาวะถดถอย และไทยที่เผชิญกับภาวะแผ่นดินไหว ส่งผลให้สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เมื่อประกอบกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยสู่ระดับ 1.75% ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Yield Curve) ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

รูปที่ 1 เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย | Source : Bloomberg Data As of 06/05/2025

การปรับตัวลงของอัตราผลตอบพันธบัตรรัฐบาลนี้ดังกล่าวสร้างผลเชิงลบต่อกองทุนกลุ่มหนึ่งคือ Term Fund ที่ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return) ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดลดลงแตะระดับ 1.30 – 1.55% ต่อปี สิ่งนี้เรียกว่า Interest Risk หรือความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ที่หากลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จะต้องเผชิญ

สวนทางกับ กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว ที่สามารถสร้างผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังได้สูงสุดถึง 5.69% จาก Capital Gain หรือกำไรจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น เมื่อพิจารณาไปยัง Yield to Maturity หรือ อัตราดอกเบี้ยเมื่อถือครองจนครบกำหนดที่ระดับ 2% ขึ้นไป และควบคู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อาจชะลอตัว ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยให้ให้มีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อไปในอนาคต หนุนความน่าสนใจของกองทุนตราสารหนี้กลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่ลงทุน Term Fund เป็นหลัก 

แต่ก่อนที่นักลงทุน Term Fund จะย้ายการลงทุนไปยังกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง อาจต้องทราบถึงลักษณะที่แตกต่าง หรือข้อดี และข้อเสียก่อนที่จะย้าย เพื่อที่จะได้ลงทุนได้อย่างสบายใจไปพร้อมๆ กับโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่า


1️⃣กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนเหมือน Term Fund จึงมีสภาพคล่องที่เหนือกว่า ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะได้รับเงินคืนเข้าบัญชี 2 วันทำการหลังจากขาย (T+2)

2️⃣กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง ไม่สามารถระบุผลตอบแทนคาดหวังที่ชัดเจนได้แบบ Term Fund เนื่องจากกองทุนมีการ Roll Over อย่างต่อเนื่อง และมีการปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์เป็นสม่ำเสมอ เมื่อประกอบกับการรับรู้ราคาตราสารหนี้ทำให้อาจเกิดการรับรู้กำไรและขาดทุน (Capital Gain/Loss) ได้ 

ต่างจาก Term Fund ที่มีการระบุระยะเวลาลงทุนที่ชุดเจนและถือครองจนครบกำหนด เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ทำให้ผลจากราคาไม่กระทบในท้ายที่สุด แม้ระหว่างทางราคาตราสารหนี้เหล่านั้นจะผันผวนบ้างก็ตาม แต่จะเป็นการรับรู้ผลตอบแทนจากเงินต้น และดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้น 

💡ทำให้ Term Fund มีข้อดีที่เหนือกว่าคือ สามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ชัดเจนได้ ต่างจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางที่รับผลตอบแทนทั้งจากดอกเบี้ยรับและส่วนต่างราคาที่เปลี่ยนแปลงไปตามภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ

💡ขณะที่ข้อดีของกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางคือ การคาดหวังผลตอบแทนที่ได้สูงกว่าหากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ หรือในสภาวะตลาดที่เหมาะสมและสภาพคล่องที่เหนือกว่าจากการไม่กำหนดเวลาถือครอง

ดังนั้นหากนักลงทุนท่านใดรับความผันผวนได้สูงมากขึ้น คาดหวังผลตอบแทนที่มากขึ้นจาก Yield หรืออัตราดอกเบี้ยที่ถือครองสูงกว่าจากการกระจายลงทุนที่หลากหลายช่วงอายุกว่า และคาดหวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง จะเหมาะสมแก่ท่านเป็นอย่างยิ่ง

กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางที่น่าสนใจ

👉 KFAFIX-A ปัจจุบันมี Yield to Maturity ที่ 2.19% มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า Term Fund ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต กองทุนนี้มี Duration เฉลี่ย 2 ปี 7 เดือน 27 วัน (รูปที่ 2 ใต้ Comment)

👉 K-FIXED-A ปัจจุบันมี Yield to Maturity ที่ 2.18% และมี Duration เฉลี่ย 3 ปี 7.56 เดือน ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่า Term Fund ณ ปัจจุบันเช่นเดียวกัน

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

บทความที่เกี่ยวข้อง

Taper Tantrum 2013 คืออะไร

หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (2008) ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ใช้ Quantitative Easing (QE) เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณมหาศาล ส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลง สนับสนุนการกู้ยืม การจ้างงาน และการลงทุน แต่ในเดือนพฤษภาคม 2013 เพียงแค่คำกล่าวของ Ben Bernanke ประธาน Fed ขณะนั้นที่บอกว่า “Fed อาจเริ่มลดการซื้อพันธบัตรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความตื่นตระหนกของตลาดทั่วโลก

ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าการลดสภาพคล่องจากระบบ Quantitative Tightening (QT) จะเกิดขึ้นในไม่ช้า และอาจตามมาด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งเป็นผลลบต่อตลาดตราสารหนี้ จาก Demand ของตราสารหนี้ที่อาจขาดหายไป และการขึ้นดอกเบี้ยที่กดดันราคาตราสารหนี้ระยะยาว (Long Duration) 

ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น สวนทางตั๋วเงินคลังระยะสั้น พร้อมกับสร้างแรงกดดันไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่านความกังวลด้านต้นทุนการเงินที่เร่งตัวขึ้น และตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) ไปพร้อมๆ กัน จากเงินทุนไหลออก

ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นจาก 1.6% สู่ระดับใกล้เคียง 3% ตลาดหุ้น EM ปรับตัวลง 15-20% โดยเฉลี่ย และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงประมาณ 6%

เมื่อเผชิญสถานการณ์ดังกล่าวนักลงทุนควรที่จะ

  • ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือยาวนาน (duration สูง)
  • เสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตด้วยเงินสด หรือสินทรัพย์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น
  • กระจายพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากความผันผวน อาทิ Vix ETF
  • หากลงทุนในหุ้น อาจเน้นหุ้นคุณภาพสูง กระแสเงินสดดี ROIC สูง มีอัตราการกู้ยืมต่ำ
  • หลีกเลี่ยงสินทรัพย์ของประเทศที่อ่อนไหวต่อ Fund Flow, บริษัทหรือหุ้นที่มีอัตราการกู้ยืมสูง หรือ ยังไม่มีกำไร เป็นต้น 
  • ติดตามสถานการณ์การประชุม FOMC อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสถานการณ์💡มองหาสินทรัพย์ที่ Panic Sell มากเกินไป เพื่อสร้างโอกาสจากความผันผวน

การนึกถึง Scenario ต่างๆ เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนเอาไว้ให้พร้อมเสมอ เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้เติบโตไปอย่างมั่นคง เพื่อให้เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้น ทั้งเป็นไปตามคาด และผิดคาด นักลงทุนจะสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที ด้วยเหตุผลตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้แล้ว

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2403
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd


ในโลกที่ตลาดหุ้นไม่แน่นอน ตลาดพันธบัตรก็ไม่ปลอดภัยเหมือนเดิม และ correlation ระหว่างสินทรัพย์ดั้งเดิมเริ่มขยับไปทางเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนมืออาชีพจำนวนมากจึงเริ่มหันมามองหาเครื่องมือที่สามารถ “ลด drawdown” ได้จริง และสร้างผลตอบแทนในเชิง Absolute มากกว่าแค่ “ชนะตลาดแบบ Relative” 

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ Absolute Return Fund หรือ “กองทุนผลตอบแทนสัมบูรณ์” ที่วางเป้าหมายหลักในการสร้างผลตอบแทนเป็นบวกเสมอในแต่ละช่วงเวลา โดยไม่สนใจว่าตลาดจะขึ้น ลง หรือ Sideway

❓Absolute Return Fund คืออะไร

กองทุนดั้งเดิมจะเน้นพยายามเอาชนะดัชนี เช่น ดัชนีปรับตัวขึ้น 5% กองทุนจะตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนมากกว่า 5% หรือในกรณีที่กองทุนปรับตัวลง 5% กองทุนจะตั้งเป้า ปรับตัวลงน้อยกว่า 5% ขณะที่ Absolute Return Fund จะตั้งเป้า“ชนะตลาดทุกสภาวะ” (All Weather Return) กล่าวคือ ไม่ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นลงเท่าไหร่ กองทุนก็จะตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ บนกรอบเวลาที่กำหนด เช่น ทุกๆ ไตรมาส, ทุกๆ ปี 

✅ เป้าหมายไม่ใช่ outperform ดัชนี แต่คือทำผลตอบแทนเป็นบวก อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว

✅ Return +5% คือ “Success” แม้ตลาดจะติดลบ -10% เพราะไม่ได้ benchmark กับตลาด

โดยสรุป Absolute Return Fund คือ “การลงทุนแบบไม่สนใจตลาด” ด้วยเครื่องมือ และกลยุทธ์ที่หลากหลาย อาทิ

🔄 Long/Short Strategy

– เข้าซื้อหุ้นที่คาดว่าจะขึ้น

– เปิด Short หุ้นที่คาดว่าจะลง

– ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ไปพร้อมๆ กับลดความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาด

🛡️ Derivatives & Hedging

– ใช้ Options, Futures หรือ Swaps เพื่อลดความเสี่ยง หรือเก็งกำไรจาก Volatility

– ป้องกัน downside หรือ Lock-in ผลกำไร

📊 Multi-Asset & Macro Strategy

– ลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้, ค่าเงิน, Commodity

– Dynamic Allocation เปลี่ยนสัดส่วนตาม Market Regime

📏 Risk Control ขั้นสูง

– ใช้ Stop-loss, VaR, หรือ Volatility Targeting ควบคุม Drawdown

– หลายกองใช้ Sharpe Ratio และ Max Drawdown เป็น KPI สำคัญ

สำคัญคือการ ควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มข้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุน 


ในแง่ของการจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) Absolute Return Fund นับเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะแก่การกระจายลงทุน เพราะช่วยให้ความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ต่างๆ ต่ำลง พร้อมด้วยการตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอในทุกๆ สภาวะ ลดโอกาสการเกิด Overhedge หรือป้องกันความเสี่ยงมากเกินไป จนส่งผลต่อผลตอบแทนที่คาดหวัง

หรืออาจใช้ในลักษณะของ Tactical Allocation เมื่อทิศทางตลาดไม่ชัดเจน เมื่อความกังวล หรือความเสี่ยงเร่งตัวมากขึ้นก็สามารถทำได้

ข้อจำกัดของกองทุนกลุ่ม Absolute Return Fund

1️⃣ กลยุทธ์ซับซ้อน อาจเข้าใจยากสำหรับมือใหม่

2️⃣ ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นในช่วงตลาดขาขึ้นแรง

3️⃣ ค่าธรรมเนียมสูงกว่ากองทุน Passive ทั่วไป

SCBGEARA กองทุน Jupiter Merian Global Equity Absolute Return Fund ซึ่งใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Market Neutral เพื่อสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอในทุกสภาวะตลาด เหมาะสมแก่การถือครองเพื่อกระจายความเสี่ยง

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd


Buffett Indicator เครื่องที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ใช้ดูความถูก/แพงของตลาดหุ้น….

“วอร์เรน บัฟเฟตต์” ชื่อนี้แทบจะกลายเป็นตำนานในโลกการลงทุน นักลงทุนระดับโลกผู้เป็นต้นแบบของ Value Investment หรือการลงทุนเชิงคุณค่า ที่ให้ความสำคัญกับการซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) วิธีคิดของเขาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง — ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ และไม่จ่ายแพงเกินไปสำหรับสินทรัพย์ที่ซื้อ

สำหรับนักลงทุนแนวทางนี้ การประเมินว่าตลาดหุ้นในภาพรวม “ถูก” หรือ “แพง” เป็นเหมือนการวางเข็มทิศก่อนออกเดินทาง เพราะแม้จะเจอบริษัทดีแค่ไหน แต่หากตลาดโดยรวมอยู่ในช่วงฟองสบู่ โอกาสทำกำไรก็อาจน้อยลงหรือเสี่ยงขาดทุนได้มากขึ้น

ในโลกการเงินมีเครื่องมือและตัวชี้วัดมากมายที่ใช้ประเมินความถูกแพงของตลาด เช่น P/E Ratio ที่เปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น หรือ P/BV Ratio ที่เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยและใช้กันอย่างแพร่หลาย

แต่สำหรับบัฟเฟตต์ เขามีตัวชี้วัดที่มองภาพรวมได้ชัดเจนกว่านั้น และใช้เป็น “สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า” ว่าตลาดกำลังอยู่ในจุดที่เสี่ยงหรือไม่ เครื่องมือนั้นคือ Buffett Indicator หรืออัตราส่วนระหว่าง #มูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมด กับ #ขนาดเศรษฐกิจของประเทศ (GDP)

Buffett Indicator ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นเสมือนภาพถ่ายมุมสูงของทั้งตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ หากตัวเลขสูงมากเกินไป ย่อมสื่อว่ามูลค่าตลาดหุ้นโดยรวมอาจเกินกว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะรองรับได้ และนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น

แล้วเครื่องมือนี้ทำงานอย่างไร? เราจะพาไปเจาะลึกมากขึ้น

เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนภาพรวมของมูลค่าตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศ สามารถคำนวณได้จาก  

( มูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมด​GDP​) ×100   ซึ่งค่าที่คำนวณออกมา สามารถบ่งบอกได้ดังนี้

▪️ < 100% = ตลาดหุ้นอาจอยู่ในภาวะ “ถูก” (Undervalued)
▪️ใกล้เคียง 100% = ตลาดอยู่ในระดับสมเหตุสมผล (Fair Valued)
▪️ > 100% = ตลาดมีแนวโน้ม “แพง” (Overvalued)
▪️ ≥ 200% = เป็นสัญญาณอันตราย เตือนถึงฟองสบู่ (Bubble)

เมื่อมองภาพรวมของตลาดในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า มูลค่าตลาดรวมของดัชนี Wilshire 5000 อยู่ที่ราว 65.47 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ GDP ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 30.15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568)

ทั้งนี้ดัชนี Wilshire 5000 คือ ดัชนีที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ กว้างที่สุด ครอบคลุมหุ้นทุกขนาดและอุตสาหกรรม ใช้กันมากในการวัดขนาด “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ทั้งหมด ซึ่งมีการคำนวณแบบ “Market Cap Weighted”

เมื่อนำตัวเลขทั้งสองมาคำนวณ จะได้ค่า Buffett Indicator ประมาณ 217% (Bubble) เป็นระดับที่ส่งสัญญาณให้ #นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะโอกาสที่ราคาหุ้นจะผันผวนหรือปรับฐานมีมากขึ้นในช่วงหลังจากนี้

ดังนั้นแล้วกองทุน MGALL (MFC Global Strategic Allocation Fund) ซึ่งกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก และให้น้ำหนักในแต่ละสินทรัพย์ตามความเสี่ยงแบบ Risk Parity จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความเสี่ยง รับโอกาสสร้างได้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นๆ  📌 ลงทุนเริ่มต้น 1,000 บาท ระดับความเสี่ยง 5

อย่างไรก็ดี Buffett Indicator ยังมีข้อจำกัดในด้าน

อัตราดอกเบี้ย มีผลต่อการหนุนหรือกดดันภาวะการลงทุน ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ อาจทำให้ดัชนีสูงกว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงได้ ดังนั้นอาจต้องพิจารณาปัจจัยนี้ประกอบในแต่ละช่วงเวลา

การเติบโตของบริษัทข้ามชาติ เช่น ที่ทำกำไรนอกประเทศ แต่ GDP อาจไม่สะท้อนทั้งหมด ทำให้ดัชนีสูงขึ้นโดยที่เศรษฐกิจจริงอาจไม่ได้เติบโตตาม

ไม่ครอบคลุมปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ตัวเลขกำไรบริษัท เงินเฟ้อ หรือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอื่นๆ จึงไม่ควรใช้เป็นเครื่องชี้วัดเพียงอย่างเดียวดังนั้นต้องใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์ปัจจัยอื่น ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และผลประกอบการของบริษัท การนำตัวชี้วัดนี้มาใช้จึงควรพิจารณาให้สอดคล้องกับบริบทของตลาดในขณะนั้น เพื่อความรอบคอบ และเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

PHP Code Snippets Powered By : XYZScripts.com