KNOWLEDGE LIBRARY

คลังความรู้ทั้งหมด

Tag List

ทั้งหมด

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนของทั่วโลกต่างเผชิญความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสงครามการค้าที่เร่งตัว สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจให้อาจชะลอตัว หรือเข้าไปสู่ภาวะถดถอย และไทยที่เผชิญกับภาวะแผ่นดินไหว ส่งผลให้สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เมื่อประกอบกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยสู่ระดับ 1.75% ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Yield Curve) ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

รูปที่ 1 เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย | Source : Bloomberg Data As of 06/05/2025

การปรับตัวลงของอัตราผลตอบพันธบัตรรัฐบาลนี้ดังกล่าวสร้างผลเชิงลบต่อกองทุนกลุ่มหนึ่งคือ Term Fund ที่ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return) ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดลดลงแตะระดับ 1.30 – 1.55% ต่อปี สิ่งนี้เรียกว่า Interest Risk หรือความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ที่หากลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จะต้องเผชิญ

สวนทางกับ กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว ที่สามารถสร้างผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังได้สูงสุดถึง 5.69% จาก Capital Gain หรือกำไรจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้น เมื่อพิจารณาไปยัง Yield to Maturity หรือ อัตราดอกเบี้ยเมื่อถือครองจนครบกำหนดที่ระดับ 2% ขึ้นไป และควบคู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อาจชะลอตัว ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยให้ให้มีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อไปในอนาคต หนุนความน่าสนใจของกองทุนตราสารหนี้กลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่ลงทุน Term Fund เป็นหลัก 

แต่ก่อนที่นักลงทุน Term Fund จะย้ายการลงทุนไปยังกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง อาจต้องทราบถึงลักษณะที่แตกต่าง หรือข้อดี และข้อเสียก่อนที่จะย้าย เพื่อที่จะได้ลงทุนได้อย่างสบายใจไปพร้อมๆ กับโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่า


1️⃣กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนเหมือน Term Fund จึงมีสภาพคล่องที่เหนือกว่า ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะได้รับเงินคืนเข้าบัญชี 2 วันทำการหลังจากขาย (T+2)

2️⃣กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง ไม่สามารถระบุผลตอบแทนคาดหวังที่ชัดเจนได้แบบ Term Fund เนื่องจากกองทุนมีการ Roll Over อย่างต่อเนื่อง และมีการปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์เป็นสม่ำเสมอ เมื่อประกอบกับการรับรู้ราคาตราสารหนี้ทำให้อาจเกิดการรับรู้กำไรและขาดทุน (Capital Gain/Loss) ได้ 

ต่างจาก Term Fund ที่มีการระบุระยะเวลาลงทุนที่ชุดเจนและถือครองจนครบกำหนด เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ทำให้ผลจากราคาไม่กระทบในท้ายที่สุด แม้ระหว่างทางราคาตราสารหนี้เหล่านั้นจะผันผวนบ้างก็ตาม แต่จะเป็นการรับรู้ผลตอบแทนจากเงินต้น และดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้น 

💡ทำให้ Term Fund มีข้อดีที่เหนือกว่าคือ สามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ชัดเจนได้ ต่างจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางที่รับผลตอบแทนทั้งจากดอกเบี้ยรับและส่วนต่างราคาที่เปลี่ยนแปลงไปตามภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ

💡ขณะที่ข้อดีของกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางคือ การคาดหวังผลตอบแทนที่ได้สูงกว่าหากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ หรือในสภาวะตลาดที่เหมาะสมและสภาพคล่องที่เหนือกว่าจากการไม่กำหนดเวลาถือครอง

ดังนั้นหากนักลงทุนท่านใดรับความผันผวนได้สูงมากขึ้น คาดหวังผลตอบแทนที่มากขึ้นจาก Yield หรืออัตราดอกเบี้ยที่ถือครองสูงกว่าจากการกระจายลงทุนที่หลากหลายช่วงอายุกว่า และคาดหวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง จะเหมาะสมแก่ท่านเป็นอย่างยิ่ง

กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางที่น่าสนใจ

👉 KFAFIX-A ปัจจุบันมี Yield to Maturity ที่ 2.19% มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า Term Fund ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต กองทุนนี้มี Duration เฉลี่ย 2 ปี 7 เดือน 27 วัน (รูปที่ 2 ใต้ Comment)

👉 K-FIXED-A ปัจจุบันมี Yield to Maturity ที่ 2.18% และมี Duration เฉลี่ย 3 ปี 7.56 เดือน ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่า Term Fund ณ ปัจจุบันเช่นเดียวกัน

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

2 แนวคิดและสถิติการลงทุนที่น่าสนใจ ที่เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ สำหรับการลงทุนระยะยาว ที่ถูกนำเสนออย่างกว้างขวาง คือ เรื่องของการพลาดวันที่ดีที่สุด เพียงไม่กี่วัน อาจทำให้ผลตอบแทนแตกต่างจากการ Stay Invested หรือการลงทุนอยู่เสมอ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

S&P500 & Bond & 60/40 Portfolio Annual Rolling Return Source : JP Morgan As of 31/03/2025

รูปข้างต้นคือ หนึ่งในรูปสำคัญที่ถูกนำเสนออย่างกว้างขวาง เพื่อสือถึงหลักการของการลงทุนระยะยาว โดยมีใจความสำคัญคือ การถือครองลงทุนที่ยาวนานพอ จะช่วยลดโอกาสขาดทุนลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น หรือ สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ และพอร์ตการลงทุนแบบ หุ้น 60% ตราสารหนี้ 40% 

จุดที่น่าสนใจคือ การลงทุนในหุ้นที่เสี่ยงสูงนั้น หาก “หลับหู หลับตา” ถือหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 เพียง 10 ปีเท่านั้น ผลตอบแทนที่แย่ที่สุดจะยังคงอยู่ระดับขาดทุนประมาณ 4.6% ต่อปีเท่านั้น แต่หาก “กลั้นใจ” ถือต่ออีก 10 ปี เป็น 20 ปีแทน จะเห็นได้ว่ากรณีแย่ที่สุด ผลตอบแทนจะอยู่ที่ราว 4.7% ต่อปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากการถือครอง 20 ปีนั้นอยู่ที่ 10.48% ต่อปี (แบบทบต้น) หรือคิดเป็นการเติบโตของเงินต้นที่ระดับเกือบ 5 เท่าเลยทีเดียว

หรือหากอยากลดความเสี่ยงลงมาการกระจายการลงทุนใน พอร์ตการลงทุนแบบ หุ้น 60% ตราสารหนี้ 40% เพราะในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมานั้น เราได้เผชิญกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรศ สู่ระดับ 5.25 – 5.50% ซึ่งนับว่าเป็นภาวะที่แย่ต่อตลาดหุ้น และ ตราสารหนี้เป็นอย่างยิ่ง การกระจายลงทุนแบบ 60/40 ก็ยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 8.37% ต่อปีในช่วงเวลา 20 ปี หรือคิดเป็นการเติบโตของเงินต้น 4 เท่า บนความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ซึ่งเห็นได้จากผลตอบแทนที่แย่ที่สุด ที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญในทุกช่วงเวลา

สถิติเหล่านี้ คือภาพยืนยันชั้นดีของการ Stay Invested แต่หากยังไม่ดีพอ ยังมีอีกสถิติที่สนับสนุนการ Stay Invested และ “หลบความเสี่ยง” เป็นอย่างยิ่ง คือสถิติของการพลาดวันที่ดีที่สุดไม่กี่วัน ผลตอบแทนจากการลงทุนจะต่างจากคนที่ Stay Invested เฉยๆ อย่างมีนัยสำคัญ

เพื่อให้คุณไม่พลาดการ Stay Invested ในระยะยาวแบบนี้ การเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม และการกระจายการลงทุน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

หากเป็นกองทุนรวมต้องเลือกกองทุนรวมให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ บนค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม อาทิ 


🚩 กองทุนหุ้นทั่วโลก อาทิ KKP GNP โดดเด่นเรื่องการสร้างผลตอบแทนเหนือดัชนีหุ้นโลก พร้อมด้วยความผันผวนที่ต่ำกว่าอย่างสม่ำเสมอ ในระยะยาว จะช่วยให้การ Stay Invested (ลงทุนอยู่เสมอ) ของคุณเป็นไปได้อย่างสบายใจมากขึ้น

🚩 กองทุนหุ้นสหรัฐฯ อาทิ ES-USBLUECHIP เน้นลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ (Blue Chip Stock) ช่วยเพิ่มความมั่นคง พร้อมรับโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากความได้เปรียบด้านขนาด (Economy of Scale) และช่วยสร้างการเติบโต

🚩 กองทุน Global Asset Allocation อาทิ K-GA กองทุนรวมผสม Asset Allocation หุ้น 60% ตราสารหนี้ 40% เป็นหลัก ที่พร้อมปรับพอร์ต เพื่อสร้างผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่สม่ำเสมอในระยะยาว

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2403
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

เมื่อพูดถึงการรับผลตอบแทนจากกองทุนรวม นักลงทุนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับ เงินปันผล (Dividend) แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน นั่นคือ “Auto Redemption” หรือ การรับซื้อคืนอัตโนมัติ วันนี้เราจะพามาเจาะลึกทั้งสองแนวทาง เพื่อให้คุณเลือกได้ว่าแนวทางไหนที่เหมาะกับพอร์ตของคุณที่สุด!

Auto Redemption และ Dividend คืออะไร?

🔹 Dividend คือ การจ่ายกำไรที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในรอบนั้นๆ หรือ กำไรสะสมที่มีอยู่ของกองทุนให้กับผู้ถือหน่วย ในรูปของเงินสด ตามรอบที่กำหนด เช่น รายไตรมาส หรือรายปี 

🔹 Auto Redemption คือ การขายคืนหน่วยลงทุนบางส่วนให้กับผู้ถือหน่วยแบบอัตโนมัติ และคืนเงินให้ในรูปแบบคล้ายเงินปันผล โดยไม่มีข้อกำหนดเรื่องกำไรในแต่ละรอบ หรือ กำไรสะสม ทำให้การได้รับกระแสเงินสดตามรอบนั้น ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเมื่อมีกำไรเท่านั้น

ความเหมือนและความแตกต่าง

แหล่งที่มาของเงิน

Dividend – กำไรจากการลงทุน

Auto Redemption – รับซื้อคืนหน่วยลงทุนตัวเอง

การเสียภาษี

Dividend – เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%

Auto Redemption – ไม่เสียภาษีทันที แต่กระทบต้นทุนลงทุน

ผลกระทบต่อหน่วยลงทุน

Dividend – หน่วยลงทุนเท่าเดิม

Auto Redemption – จำนวนหน่วยลดลง

ความสม่ำเสมอของรายได้

Dividend – ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ

Auto Redemption – กำหนดรอบจ่ายได้แน่นอนกว่า

เหมาะสำหรับ

🔹Dividend เหมาะกับ

– ผู้ที่ต้องการกระแสเงินสด จากผลกำไรจริงของกองทุน

– ผู้ที่ต้องการถือหน่วยลงทุนระยะยาวโดยไม่ให้จำนวนหน่วยลดลง

🔹Auto Redemption เหมาะกับ

– ผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอโดยไม่ต้องเสียภาษีทันที

– นักลงทุนที่ไม่ต้องการให้รายได้ปันผลกระทบภาษีเงินได้

ตัวอย่างการคำนวณ

สมมติ พอร์ตลงทุนในกองทุน A และ B มูลค่า 1 ล้านบาท ด้วยต้นทุน NAV 10.0000 บาท และ จำนวนหน่วยรวม 100,000 หน่วยทั้งคู่ เมื่อเวลาผ่านไป กองทุน A และ B NAV ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 10.1000 บาท

โดยที่กองทุน A เป็นกองทุนที่จ่ายปันผล และ กองทุน B เป็นกองทุนที่รับซื้อคืนอัตโนมัติ

📌 กรณีกองทุน A (ปันผล) : เงินปันผลต่อหน่วย × จำนวนหน่วยที่ถือ

ตัวอย่าง ถ้ากองทุนประกาศปันผล 1 บาท/หน่วย พอร์ตข้างต้นจะได้รับเงินปันผล 100,000 บาท โดยที่ 1 บาทที่นำมาจ่ายนั้น จะมาจากส่วนของ NAV ส่งผลให้จำนวนหน่วยเหลือเท่าเดิมคือ 100,000 หน่วย แต่ NAV ของกองทุนจะลดลงเหลือ 10.0000 บาทอีกครั้ง ส่งผลให้มูลค่ากองทุน A จะลดลงเหลือ 1,000,000 บาท อีกครั้ง

📌 กรณีกองทุน B (Auto Redemption) : จำนวนหน่วยที่รับซื้อคืนต่อหน่วย × จำนวนหน่วยที่มี = จำนวนหน่วยที่จะรับซื้อจริง และเมื่อนำจำนวนที่จะรับซื้อจริง X NAV ณ วันที่รับซื้อ = จำนวนเงินที่ได้รับ


ตัวอย่าง ถ้ากองทุนประกาศรับซื้อคืน 0.01 ต่อหน่วย 100,000 X 0.01 =  1,000 หน่วย | 1,000 หน่วย X NAV 10.1000 บาท = 10,100 บาท ส่งผลให้หน่วยลงทุนที่ถือครองลดลงเหลือ 99,000 หน่วย ด้วย NAV 10.1000 เท่าเดิม จะทำให้มีมูลค่าการถือครองเหลือ 999,900 บาท

สังเกตได้ว่า เมื่อยังไม่หักภาษีปันผล มูลค่าสุทธิที่รวมกันระหว่างกระแสเงินสด และเงินลงทุนคงเหลือเท่ากัน ต่างกันที่กองทุนที่จ่ายปันผล NAV จะลดลง แต่กองทุนประเภท Auto Redemption จะลดหน่วยที่ถือครองลง 

ข้อดีและข้อเสีย

กองทุนประเภทจ่าย Dividend

✅ เป็นรายได้จากผลกำไรจริงของกองทุน

✅ จำนวนหน่วยลงทุนยังคงเดิม

❌ ขึ้นอยู่กับนโยบายกองทุนและภาวะตลาด อาจไม่ได้รับทุกงวด

❌ เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%

กองทุนประเภท Auto Redemption

✅ กำหนดรอบการรับซื้อคืนได้แน่นอนกว่า 

✅ ไม่ต้องเสียภาษีปันผลทันที

❌ จำนวนหน่วยลงทุนลดลง → ถือลดลง ผลตอบแทนในอนาคตอาจน้อยลง 

❌ หาก NAV ลดลงในช่วงรับซื้อคืน อาจขาดทุนโดยไม่รู้ตัว

สรุปเลือกแบบไหนดี?

ถ้าคุณต้องการรายได้จากกำไรของกองทุน รับได้กับการเสียภาษี และไม่ต้องการความสม่ำเสมอสูง → การเลือกกองทุนปันผลเหมาะกับคุณมากกว่า

ถ้าคุณต้องการรายได้จากกำไรของกองทุน แบบสม่ำเสม แต่ไม่ต้องการเสียภาษี  และรับได้กับการลดจำนวนหน่วยลงทุน → การเลือกกองทุน Auto Redemption เหมาะสมกับคุณมากกว่า

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH มุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2403
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

นักลงทุนหลายท่านที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ เช่น หุ้น กองทุน Feeder Fund หรือ หุ้นต่างประเทศ หรือ ETF ต่างประเทศ ต้องเผชิญกับความผันผวนของ อัตราแลกเปลี่ยน (FX Risk) ที่อาจส่งผลต่อผลตอบแทนของการลงทุนได้ จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อแปลงเงินลงทุนกลับมาสกุลเงินท้องถิ่น นำมาสู่คำถามสำคัญคือ การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จำเป็นหรือไม่?

ความเข้าใจหลักการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมมากขึ้นและตอบคำถามข้างต้น

1️⃣ ทฤษฎี Purchasing Power Parity (PPP) หรือ ทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อ

📌 เบื้องหลังทฤษฎี PPP คือกฎของราคาสินค้าราคาเดียว (Rule of One Price) คือราคาสินค้าหรือบริการชนิดเดียวกันระหว่างสองประเทศควรมีราคาเท่ากัน ดังนั้นทำให้เกิดการอ่อนหรือแข็งค่าของสกุลเงิน นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของ Fx ที่ทำให้ราคาสินค้าหรือบริการชนิดเดียวกันมีราคาเท่ากัน

📌 อำนาจซื้อในที่นี้ก็คืออัตราเงินเฟ้อ ที่มีผลต่อการอ่อนหรือแข็งค่าของสกุลเงิน ประเทศที่เงินสูง ควรมีค่าเงินอ่อน สะท้อนอำนาจซื้อที่ลดลง ในทางกลับกันประเทศที่เงินเฟ้อต่ำ ควรมีค่าเงินแข็งค่า สะท้อนอำนาจซื้อที่มีมาก ปัจจัยดังกล่าวเป็นตัวขับเคลื่อนให้ Fx เข้าหาดุลยภาพที่เหมาะสมตามระดับเงินเฟ้อของทั้งสองประเทศ

2️⃣ Interest Rate Parity (IRP) อัตราดอกเบี้ยกำหนดทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน

📌 ประเทศที่มีดอกเบี้ยสูงมักแข็งค่าในระยะสั้น แต่จะอ่อนค่าในระยะยาว เนื่องจากในระยะสั้นจะเกิดปริมาณเงินทุนไหลเข้าสู่สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ในระยะยาวสกุลนั้นจะอ่อนค่าเพื่อลดโอกาสการทำ Arbitrage

3️⃣ ค่าเงินมีแนวโน้มกลับสู่สมดุลในระยะยาว (Mean Reversion)

📌 อัตราแลกเปลี่ยนอาจผันผวนระยะสั้นตามอารมณ์ตลาด และปัจจัยระยะสั้น แต่สุดท้ายแล้ว มักปรับตัวกลับสู่ค่าที่ยุติธรรมตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ เช่น กรณีสกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงระหว่างวิกฤตหนี้ยุโรปในปี 2012 แต่หลังจากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัว ค่าเงินกลับมาแข็งค่าขึ้น

4️⃣ ยิ่งลงทุนระยะยาว ยิ่งลดผลกระทบจาก FX

📌 อัตราแลกเปลี่ยนมักส่งผลต่อพอร์ตการลงทุนมากในช่วง 1-3 ปี แต่ ในระยะ 10-20 ปี ผลตอบแทนจากสินทรัพย์มักมีน้ำหนักมากกว่าความผันผวนของ FX กล่าวคืออัตราแลกเปลี่ยนมักผันผวน และสร้างผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเมื่อกเทียบกับสินทรัพย์ เช่น นักลงทุนสหรัฐฯ ที่ถือ Nikkei 225 (ตลาดหุ้นญี่ปุ่น) เป็นเวลา 20 ปี แม้ค่าเงินเยนจะแข็งค่าและอ่อนค่าตามรอบเศรษฐกิจ แต่กำไรจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงเวลาดังกล่าวยังให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง

5️⃣ การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) อาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว

📌 การทำ FX Hedging ผ่าน ฟิวเจอร์ส สวอป หรือออปชัน อาจช่วยลดความเสี่ยงระยะสั้น แต่ในระยะยาว ค่าใช้จ่ายในการ Hedge อาจลดผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ต เช่น นักลงทุนที่ลงทุนหุ้นยุโรปสามารถป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของ EUR/USD ได้ แต่หากค่าใช้จ่ายในการ Hedge อยู่ที่ 2% ต่อปี เท่ากับว่านักลงทุนต้องแบกรับต้นทุนส่วนเกินที่อาจส่งผลต่อผลตอบแทนระยะยาว

โดยสรุปคือ

  1. อัตราแลกเปลี่ยนอาจเคลื่อนไหว ตามอารมณ์ หรือปัจจัยระยะสั้นได้ แต่จะกลับเข้าสู่จุดสมดุล หรือจุดที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานเสมอ ทำให้หากเลือกลงทุนระยะยาวอัตราแลกเปลี่ยนจะมีโอกาสส่งผลต่อการลงทุนต่ำ
  2. ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าสินทรัพย์ลงทุน หลากหลายชนิด โดยเฉพาะหุ้น ส่งผลให้หากลงทุนในระยะยาว แม้อัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนได้ แต่เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนจะค่อยๆ ส่งผลต่อการลงทุนน้อยลงเรื่อยๆ
  3. ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แม้จะไม่สูงมากนัก เมื่อพิจารณาเป็นรายปี เช่น 1-2% แต่หากลงทุนในระยะยาว อาจส่งผลต่อการเติบโตของพอร์ตได้อย่างมีนัยสำคัญ

ข้อสรุปสำหรับนักลงทุน
📊 นักลงทุนระยะสั้น (1-3 ปี) หรือเก็งกำไรระยะสั้น : อาจต้องพิจารณาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนให้ความเหมาะสม กับกลยุทธ์การลงทุน และสถานการณ์ รวมถึงความเสี่ยงที่รับได้

📊 นักลงทุนระยะยาว (10+ ปี) : ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน มักไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กระทบผลตอบแทน ควรโฟกัสที่การเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตแทน 

ค่าเงินเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ธุรกิจที่ดีและสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งจะสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว! 🚀

FINANSIA WEALTH มุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง 

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2403
✉️ wealth-management@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

PHP Code Snippets Powered By : XYZScripts.com