KNOWLEDGE LIBRARY

คลังความรู้ทั้งหมด

Tag List

ทั้งหมด

 ❓ กองทุนที่ถืออยู่ควรขายเลยไหม?

❓ ขาดทุนอยู่ ควรรอหรือขายตัดขาดทุนดี?

❓ มีกองทุนใหม่ที่น่าสนใจกว่า ควรสับเปลี่ยนเลยหรือไม่?

❓ ขายตอนนี้ จะพลาดโอกาสกำไรหรือเปล่า?

หลายคนที่ลงทุนกองทุนรวมอาจเคยมีคำถามเหล่านี้อยู่ในใจ เพราะ “การขาย” หรือ “สับเปลี่ยนกองทุน” มักเป็นจังหวะที่ทำให้ลังเลมากที่สุด บางคนกลัวขาดทุน บางคนกลัวเสียโอกาส และบางคนก็ไม่แน่ใจว่าจังหวะไหนถึงจะเหมาะที่สุด

บทความนี้จะมา ไขข้อสงสัย ให้คุณเข้าใจว่า เมื่อไรควรขายกองทุน หรือปรับพอร์ตอย่างไรให้เหมาะสม พร้อมแนะนำตัวเลือกพักเงินระหว่างรอโอกาสใหม่ เพื่อให้การลงทุนของคุณมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาว

1️⃣ เมื่อบรรลุเป้าหมาย หรือ ได้กำไรตามที่คาดหวังแล้ว
จะพิจารณาขายทั้งหมดหรืออาจขายเฉพาะส่วนที่เป็นกำไรเพื่อเก็บเงินต้นไว้ก็ได้เช่นเดียวกัน หากมองว่ากองทุนนั้นๆ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อได้ ข้อควรระวังคือ ไม่ควรซื้อๆ ขายๆ บ่อยจนเกินไป เนื่องจากอาจเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่าที่ควร

2️⃣ เมื่อขาดทุนจนเกินรับได้ หรือ รับความเสี่ยงไม่ไหว

กรณีกองทุนเกิดการขาดทุนสูงเกินกว่าที่รับความเสี่ยงได้ อาจทยอยตัดขาดทุนเพื่อปรับพอร์ตลงมาก่อน ไม่มีอะไรการันตีว่ากองทุนที่ลงมาลึกแล้วจะไม่ลงต่อ ดังนั้นการรักษาทั้งเงินและสภาพจิตใจเพื่อรอโอกาสในการลงทุนครั้งหน้าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

3️⃣ เมื่อต้องการปรับพอร์ต (Portfolio Rebalancing)
ความผันผวนของตลาด อาจทำให้สัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตไม่สมดุลตามแผนที่วางแผนไว้ การขายกองทุนบางส่วนที่มีน้ำหนักเกินสัดส่วนที่กำหนด และนำเงินซื้อสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าที่เรากำหนด จะช่วยให้พอร์ตของคุณกลับมาสมดุลและช่วยลดความเสี่ยงลงได้

4️⃣ เมื่อผลการดำเนินงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มสินทรัพย์เดียวกันอย่างต่อเนื่อง
หากกองทุนที่ลงทุนอยู่นั้น ไม่สร้างผลตอบแทนได้ตามที่คาดหวัง หรือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มสินทรัพย์เดียวกันอย่างต่อเนื่อง อาจพิจารณาขายและนำเงินไปลงทุนในกองทุนอื่นที่มีศักยภาพมากกว่า

5️⃣ เมื่อเกิดวิกฤติ หรือ มุมมองการลงทุนเปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในบางสถานการณ์ อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการลงทุน ดังนั้นหากพิจารณาแล้วว่ากองทุนที่คุณลงทุนอยู่นั้นมีความเสี่ยงจะขาดทุน หรือขาดทุนไปแล้วและยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น คุณอาจต้องพิจารณาขายเพื่อนำไปลงทุนในกองทุนอื่นแทน

6️⃣เมื่อเจอช่องทางการลงทุนที่ดีกว่า

หากคุณพบการลงทุนใหม่ที่ให้โอกาสในการทำกำไรที่สูงกว่า บนความเสี่ยงที่เท่ากันหรือน้อยกว่า และยังสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุน การขายกองทุนเดิมเพื่อนำเงินไปลงทุนในตัวเลือกใหม่ อาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล และอย่าลืมพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่าย (Expense ratio) หรือ ค่าธรรมเนียม ประกอบก่อนตัดสินในลงทุน

นอกจากการขายแล้ว นักลงทุนยังสามารถใช้การ Switching หรือ สับเปลี่ยนกองทุน ไปพักไว้ที่กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงินก่อนได้เช่นกัน ซึ่งวิธีนี้มีข้อดี คือ ผลตอบแทนจากการพักเงินดังกล่าวมักสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

ลงทุนแบบมีทิศทาง? เริ่มต้นจากเข้าใจโครงสร้างของผลตอบแทน Return = Cash + Beta + Alpha สมการที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

สมการนี้ถูกคิดค้นโดย Ray Dalio ผู้ก่อนตั้ง BridgeWater ซึ่งเป็น Hedge Fund ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน โดยสมการนี้ประกอบไปด้วยผลตอบแทนหลักๆ 3 ส่วนด้วยกัน แบ่งออกเป็น

💡Cash หรือ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือเงินสด เงินสดเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการสร้างผลตอบแทนเบื้องต้นบนความเสี่ยงที่จำกัดหรือปราศจากความเสี่ยง โดยเงินสดจะทำหน้าที่เป็นเกาะกันกระแทกยามตลาดผันผวน และเป็นแหล่งเงินสำรองสำหรับลงทุนในสินทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงที่ราคาลดลงอีกด้วย  

ตัวอย่างสินทรัพย์ที่ลงทุนได้มักอยู่ในรูปแบบของเงินฝาก ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรเป็นหลัก ทำให้ผลตอบแทนที่ได้อาจไม่สูงมากนัก แต่หากนักลงทุนใช้เงินสดให้ถูกจังหวะ เช่น นำไปลงทุนเมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวลง ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ และกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของพอร์ตได้เช่นกัน

💡Beta หรือ ส่วนที่สร้างผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด หรือการสร้างผลตอบแทนตามศักยภาพตลาด ในที่นี้หมายถึงการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อาทิ หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ ฯลฯ เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนตามศักยภาพนั้นๆ เช่น ดัชนีหุ้นที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน 6-12% ต่อปี, ตราสารหนี้ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน 2-5% ต่อปี ทองคำที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนตามเงินเฟ้อ และสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงเวลาแห่งความผันผวน

ซึ่งการสร้างผลตอบแทนในส่วนนี้ มักจะทำได้ดีในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนต่ำ แต่หากความไม่แน่นอนสูง หรือตลาดเป็นขาลง ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับพอร์ตได้เช่นกัน

ส่วนนี้อาจกล่าวง่ายๆ ได้ว่าเป็นส่วนที่ป้องกันอาการตกรถของเรา กล่าวคือ อาจเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกในระยะยาว เช่น การลงทุนใน ETF แบบ Passive บนหุ้นทั่วโลก หรือการลงทุนในกองทุน Global Asset Allocation เป็นต้น

💡Alpha หรือ การสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม อาทิ การเลือกหุ้นรายตัวตามสไตล์ VI, การลงทุนในหุ้นที่ Deep Discount (ถูกมากๆ), การลงทุนในหุ้น Turn Around, การเข้าเก็งกำไรในค่าเงินพร้อมด้วยการใช้ Leverage, การใช้อนุพันธ์ต่างๆ เพื่อเร่งการสร้างผลตอบแทน

ซึ่งการจะสร้างผลตอบแทนส่วนนี้ได้ จะต้องใช้ประสบการณ์และความรู้ด้านการลงทุนที่สูง เพื่อหาสินทริพย์ที่ดี ในช่วงเวลาที่เหมาะสม พร้อมด้วยใจที่กล้าเสี่ยง เพราะโอกาสสร้างผลตอบแทน มักมาคู่กับความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อประกอบกันทั้ง 3 ส่วน เราจะได้พอร์ตการลงทุนที่

1. ไม่ตกรถ เพราะเราอยู่ในตลาดเสมอผ่าน Beta 

2. เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ เรายังสามารถสบายใจได้ เพราะมี Cash อยู่ในมือ รอจังหวะลงทุนของดี ราคาถูกทั้งหลาย

3. เมื่อสถานการณ์เป็นใจ และเราเลือกได้ถูกต้อง พอร์ตก็มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วย Alpha ที่เราลงทุน

เมื่อพิจารณาในมุมมองของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมเป็นหลัก อาจจัดพอร์ตการลงทุนได้ดังนี้

Cash เช่น Money Market หรือ กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น อาทิ K-TREASURY, ES-CASH, K-CASH และ SCBTMF เป็นต้น


Alpha เช่น ชนิดที่ Fund Manager หา Alpha ให้เราอย่างกองทุนหุ้นเติบโต อาทิ KFGG-A, การจับจังหวะซื้อกองทุนที่ปรับตัวลงมากแต่ยังมีศักยภาพสูง เช่น การทยอยสะสมกองทุนหุ้นเวียดนามอย่าง PRINCIPAL VNEQ-A ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา, การซื้อกองทุนหุ้นที่เกี่ยวข้อง Digital Assets ที่ผันผวนสูง แต่มีโอกาสเติบโตสูงอย่าง ASP-DIGIBLOC เป็นต้น

Beta เช่น กองทุนหุ้นทั่วโลก Passive อย่าง K-WORLDX 

หรือ กองทุน Global Asset Allocation #MGALL ที่กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ตามหลักปรัชญา Risk Parity ของ Ray Dalio เหมาะสมแก่การเป็น Beat ของพอร์ต รับโอกาสสร้างผลตอบแทนตามศักยภาพของหุ้นทั่วโลก โดยโฟกัสที่การบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มข้น ทำให้ Beta ในพอร์ตของคุณมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ตามศักยภาพของแต่ละสินทรัพย์ในระยะยาว บนความผันผวนที่่ต่ำกว่า 

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

แม้ยังไม่ถูกเสนอชื่อ แต่แนวคิดมีอิทธิพลต่อทิศทางดอกเบี้ย และหากได้รับการเสนอชื่อจริง จะส่งผลต่อตลาดทันที แม้คนเดิมจะยังมีอำนาจ

ความขัดแย้งระหว่าง Donald Trump และ Jerome Powell 

ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาตลาดการเงินทั่วโลกจับตา “ศึกกลาง Fed” เมื่อ Donald Trump ส่งสัญญาณไม่ไว้วางใจ Jerome Powell ประธาน Fed คนปัจจุบัน หลังเค้าพยายามกดดันอย่างหนักให้ Powell ลดอัตราดอกเบี้ย จนลามมาถึงรายงานที่ว่า เค้ามีแผนที่จะปลดพาวเวลล์ออกจากตำแหน่ง โดยถึงขั้นโชว์จดหมายร่างคำสั่งปลด ทำให้ในขณะนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง ส่วนบอนด์ยีลด์และราคาทองคำพุ่งขึ้นทันที (16 ก.ค.)

แต่ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้น ทรัมป์ก็กลับคำต่อหน้าสาธารณชน โดยกล่าวว่าเค้าไม่มีแผนจะปลดพาวเวล และเห็นว่า #แทบไม่มีโอกาสที่จะดำเนินการใดๆ เว้นแต่พาวเวลล์จะถูกพบว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ตลาดการเงินพลิกกลับทันที และถูกขนานนามว่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบ “TACO” (Trump Announces, Contradicts Overnight)

เริ่มกระบวนการหาผู้สืบทอดตำแหน่ง

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent ชี้กระบวนการคัดเลือกประธานเฟดคนใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พร้อมแย้มว่า พาวเวลล์ควรลาออกเมื่อมีผู้มารับช่วงต่อ เรื่องนี้สร้างความกังวลต่อตลาดเกี่ยวกับ #ความเป็นอิสระของเฟด โดยมีการคาดการณ์ออกมาว่าอาจมีการเสนอชื่อผู้รับตำแหน่งเร็วที่สุดในช่วงปลายปีนี้ และผู้ได้รับการเสนอชื่ออาจได้เข้าสู่ FOMC ล่วงหน้าผ่านช่องว่างในคณะกรรมการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ของทรัมป์ในการโน้มน้าวทิศทางนโยบายการเงิน

ทั้งนี้ Jerome Powell ยังคงมีวาระดำรงตำแหน่งประธานเฟดถึงเดือนพฤษภาคม 2569 และสามารถดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการเฟดได้อีกจนถึงเดือนมกราคม 2571


ผู้ท้าชิงประธานเฟดคนถัดไป “ตัวเต็ง”

Scott Bessent – รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน  – อายุ 61
เบสเซนต์บอกกับสมาชิกรัฐสภาว่า เขายังต้องการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังต่อไป แต่ก็ไม่ปฏิเสธโอกาสที่จะขึ้นเป็นประธานเฟด เขาเคยเสนอแนวคิด Shadow Chair มาตั้งแต่ปี 2024 ก่อนที่ทรัมป์จะได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง โดยไม่ค่อยแสดงความเห็นเรื่องนโยบายการเงิน และเน้นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ เช่น ลดภาษี ยกเลิกกฎระเบียบ และส่งเสริมการค้า

Kevin Warsh – นักวิจัยด้านเศรษฐกิจ – อายุ 55
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรครีพับลิกัน เคยให้คำแนะนำกับทรัมป์ช่วง ก.พ.–มี.ค. ว่าไม่ควรเปลี่ยนพาวเวลล์ก่อนหมดวาระในปี 2026 วาร์ชเคยเป็นสายเหยี่ยว (Hawkish) ที่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย แต่ปัจจุบันสนับสนุนการลดดอกเบี้ยมากขึ้น และเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบเฟด เชื่อว่าต้นต่อเงินเฟ้อ ไม่ได้มาจากภาษีการค้า

Kevin Hassett – ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ – อายุ 62
เป็น Director of National Economic Council และที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจคนสำคัญของทรัมป์ในวาระแรก เขาสนับสนุนทรัมป์ในทุกด้าน ทั้งการค้า ภาษี เงินเฟ้อ และนโยบายของเฟด ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่พันธมิตรทรัมป์ให้การสนับสนุน เป็นสาย Ultra Dove

Christopher Waller – ผู้ว่าการเฟดที่ทรัมป์แต่งตั้งเมื่อ 5 ปีก่อน – อายุ 64
เป็นคนแรกที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกรกฎาคม เชื่อว่าเงินเฟ้อที่เกิดจากภาษีเป็นเรื่องชั่วคราว และอัตราดอกเบี้ยควรมองข้ามผลกระทบระยะสั้นเหล่านี้ เป็นสาย Dovish

ใครมาแรงสุด?


แบบสำรวจจาก Bank of America เดือนกรกฎาคมพบว่า

26% เลือก Scott Bessent 

17% เลือก Kevin Warsh

14% คือ Christopher Waller

7% ให้กับ Kevin Hassett


ขณะที่แพลตฟอร์มเดิมพัน Polymarket (23 ก.ค.) ชี้ว่า

30% เชื่อว่าจะไม่มีการเสนอชื่อภายในปีนี้

23% เลือก Kevin Warsh

17% เลือก Christopher Waller

15% เลือก Kevin Hassett
14% เลือก Scott Bessent

ผลกระทบต่อนโยบายการเงินและตลาด?

🔸ตลาดให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความเป็นอิสระของเฟด หากสูญเสียความเชื่อนี้ ความสามารถในการควบคุมเงินเฟ้ออาจถูกตั้งคำถาม และกระทบราคาสินทรัพย์ทั่วโลก

🔸นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley มองว่า “เงาประธานเฟด” ไม่น่าจะสามารถเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟดได้ในทันที เพราะนโยบายยังต้องผ่านการลงมติจากคณะกรรมการ FOMC แม้ประธานจะมีอิทธิพล แต่ไม่สามารถชี้ขาดได้เพียงลำพัง

🔸ในระยะยาว ประธานเฟดจะมีอำนาจมากขึ้นในการกำหนดทิศทาง ผ่านการเสนอชื่อกรรมการเฟดชุดใหม่ และสามารถมีอิทธิพลทางอ้อมต่อประธานเฟดสาขาภูมิภาค


อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข่าวทยอยออกมาว่า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง ยืนยันว่ารัฐบาลยังไม่รีบร้อนที่จะเสนอชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่เพื่อมาแทนที่นายเจอโรม พาวเวล ส่วนนางมิเชล โบว์แมน รองประธานเฟด อยู่ในรายชื่อผู้ที่ได้รับพิจารณาว่าจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่หรือไม่ นายเบสเซนต์ตอบว่า “ผมขอไม่เอ่ยชื่อใคร แต่ก็มีผู้ที่ได้รับการพิจารณาหลายคน ทั้งในบอร์ดของเฟด, ประธานเฟดระดับภูมิภาคที่เป็นผู้หญิงหลายคน และยังมีผู้หญิงเก่ง ๆ จากนอกเฟดอีกด้วย”

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FINANSIA WEALTH เรามุ่งเน้นการให้บริการด้านการวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

เคยไหม ตั้งเป้าเอาไว้ว่าการลงทุนที่ง่ายที่สุด คือ การลงซื้อ – ขึ้นขาย พยายามเลือกสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน เตรียมกลยุทธ์ไว้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสินทรัพย์ การวิเคราะห์กราฟ หรือการติดตามมุมมองผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมพอร์ตกลับไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้?

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม คือ “อคติ” (Bias) หรือ อุปสรรคที่อยู่ในจิตใจ ทำให้ไม่กล้าทำตามสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ ลังเล ไม่กล้าลงมือ หรือเลือกทางที่ไม่สอดคล้องกับหลักการลงทุนที่ดีในระยะยาว

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 9 อคติทางจิตใจที่มักเกิดขึ้นกับนักลงทุน พร้อมแนวทางในการรับมือ

1. Confirmation Bias : เชื่อเฉพาะสิ่งที่อยากเชื่อ

เลือกอ่านเฉพาะบทวิเคราะห์ที่ตรงใจ หลีกเลี่ยงข้อมูลที่ขัดแย้ง เช่น ชอบหุ้นเทคโนโลยีก็อ่านแต่มุมบวก ไม่สนใจความเสี่ยงของ Valuation โอกาสเกิดฟองสบู่ หรือโอกาสถูกเข้ามาแทนที่ (Disruption) ทำให้มองโลกด้านเดียว ขาดความระมัดระวัง อาจพลาดโอกาสที่ดี หรือมองข้ามความเสี่ยงสำคัญๆ ได้

2. Loss Aversion Bias : กลัวขาดทุนมากกว่าดีใจตอนกำไร

สมองของเรามักให้ความสำคัญกับ “ความเจ็บปวดจากการขาดทุน” มากกว่าความสุขจากการได้กำไร ทำให้นักลงทุนจำนวนมากทนถือสินทรัพย์ที่ขาดทุนนานเกินเหตุ แต่รีบขายหุ้นที่มีกำไร ทำให้พลาดโอกาสเติบโตในระยะยาว

3. Recency Bias : เชื่อว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

เช่น หุ้นขึ้นแรงใน 3 เดือนที่ผ่านมา เลยคิดว่าจะขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่ลืมนึกถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ปัจจัยพื้นฐานที่อาจเปลี่ยนแปลง หรือ Valuation ที่ใกล้ฟองสบู่มากขึ้น ทำให้อาจมองข้ามความเสี่ยง หรือ ลงทุนผิดพลาดได้

4. Home Country Bias : ลงทุนแต่ในประเทศตัวเอง เพราะ “คุ้นเคย”

ลงทุนเฉพาะสิ่งคุ้นเคย หรือใกล้ตัว จนมองข้ามโอกาสดีๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป

5. Status Quo Bias : ชอบอยู่กับที่ ไม่กล้าปรับพอร์ต

แม้สภาวะตลาดจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่หลายคนยังคงยึดติดกับพอร์ตเดิม เพราะกลัวความผิดพลาดจากการเปลี่ยนแปลง จนทำให้พลาดโอกาสใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้พอร์ตเติบโตได้มากกว่าเดิม

6. Overconfidence Bias : มั่นใจว่าแน่ มั่นใจว่าเหนือกว่าตลาด

ซื้อๆ ขายๆ หรือ เทรดบ่อยเพราะคิดว่า “เรารู้จังหวะ”, “เราวิเคราะห์เก่งกว่า” ทำให้อาจมองข้ามความเสี่ยงหลายๆ ส่วนไป 

7. Anchoring Bias : ยึดติดกับ “ราคาซื้อ” หรือ “ราคาสูงสุดในอดีต”

ซื้อหุ้นที่ 100 บาท ตอนนี้อยู่ที่ 80 บาท ไม่ยอมขายแม้พื้นฐานเปลี่ยน เพราะ “ติดที่” เชื่อว่า ต้องกลับไปที่ 100 ทั้งๆ ที่ตลาดไม่สนใจว่าคุณซื้อที่เท่าไหร่ มันเดินไปตามปัจจัยพื้นฐาน

8. Endowment Bias : เชื่อว่าของที่เราถืออยู่ คือของที่ดีที่สุดเสมอ

พอเราถือหุ้นหรือกองทุนหนึ่งมานาน จะเริ่มรู้สึก “ผูกพัน” ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว การลงทุน เป็นเรื่องของเหตุผลไม่ใช่ความรู้สึก ลืมประเมินว่า ยังเหมาะอยู่ไหม ทำให้อาจพลาดโอกาสดีๆ หรือลงทุนผิดพลาดไป

9. Herding Bias : วิ่งตามฝูงชน เพราะกลัวตกขบวน

หุ้นไหนคนพูดถึงเยอะ หุ้นไหนขึ้นแรง ต้องรีบกระโดดเข้าไปเพราะกลัว “พลาด” สุดท้ายได้ “ซื้อตอนเสียงดัง” แต่ “ขายตอนเงียบเหงา” ติดยอดดอยยาวๆ ไป

แล้วนักลงทุนควรทำอย่างไร

1. Stay Invested ลงทุนอยู่เสมอ เพื่อลดการพลาดโอกาส ให้ตลาดช่วยสร้างผลตอบแทน
2. Open Minded เปิดใจกว้างรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ที่อาจเข้ามา แต่ต้องศึกษาก่อนลงทุนจริงจัง
3. Establish a system ตัดสินใจอย่างเป็นระบบ พร้อมจดบันทึก เพื่อให้สามารถพัฒนาการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
4. Stay Humble ถ่อมตนว่าคนหนึ่งคนไม่สามารถรู้ทุกอย่าง หรือ ถูกทุกครั้ง ช่วยลดโอกาสมั่นใจเกินไป อีกทั้งยังเปิดทางให้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ

หรือ หากต้องการปรึกษาสถานการณ์ด้านการลงทุน พอร์ตการลงทุนปัจจุบัน สนใจวางแผนเพื่อการลงทุน การวางแผนเพื่อเกษียณอายุ และการจัดการสินทรัพย์ครอบครัวติดต่อ FINANSIA WEALTH เรามีผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อเปิดบัญชีได้ที่
📌 บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
📌 ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า
☎️ 02-625-2442
✉️ finansia-wealth@fnsyrus.com

ติดตามเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงก์ด้านล่าง
Web : https://www.finansiawealth.com/
Facebook : https://www.facebook.com/FinansiaWealth?mibextid=LQQJ4d
Yotube : https://youtube.com/@finansiasyrusfnsyrus?si=zgv2lBycsiXBkaKd

PHP Code Snippets Powered By : XYZScripts.com